ประเพณีพื้นบ้านของจังหวัดลพบุรี
ประเพณี
คือสิ่งที่ปฏิบัติเชื่อถือกันมานานจนกลายเป็นแยบอย่างความคิดหรือการกระทำที่ได้สืบต่อกันมา
จังหวัดลพบุรีเป็นแหล่งชุมชนของชนหลายกลุ่มหลายพวก
มีทั้งไทย จีน มอญ ไทยพวน
อีสาน ฯลฯ
แต่ทุกกลุ่มก็อยู่รวมกันได้อย่างสบงสุข
จึงก่อให้เกิดขนบธรรมเนียมประเพณีเฉพาะกลุ่มเฉพาะท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป
ที่นี้จะกล่าวเฉพาะบางประเพณีที่มีลักษณะเด่นเท่านั้น
ประเพณีกำฟ้า
เป็นประเพณีที่สำคัญของชาวไทยพวน
คำว่ากำ ในภาษาพวนหมายถึง
การนับถือสักการะ คำว่า ฟ้า
หมายถึง เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน
ผู้อยู่สูงเทียมฟ้า
หรือเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น
คำว่า กำฟ้า จึงหมายถึง
การนับถือการบูชาฟ้า
มีตำนานเล่าต่อ ๆ
กันมาว่าสาเหตุที่เกิดวันกำฟ้า
เนื่องจากสมัยหนึ่งเมืองพวนขึ้นอยู่กับนครเวียงจันทน์
และมีเจ้าชมพูเป็นกษัตริย์เมืองพวน
นำทัพร่วมกับนครเวียงจันทน์ไปตีเมืองหลวงพระบาง
แต่เจ้าชมพูได้ประกาศเอกราชไม่เป็นเมืองขึ้นของเวียงจันทน์
ทำให้เจ้านนท์แห่งนครเวียงจันทน์โกรธมาก
ยกทัพมาปราบเมืองพวนและจับเจ้าชมพูได้
จึงสั่งให้ประการชีวิต
ขณะที่ทำพิธีประหาร
ฟ้าผ่าถูกด้ามหอกที่จะใช้ประหาร
ทหารเวียงจันทน์ไปกราบทูลเจ้านนท์ให้ทราบเหตุอัศจรรย์นั้น
เจ้านนท์จึงรับสั่งให้นำเจ้าชมพูกลับไปครองเมืองพวนตามเดิม
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น
จึงทำให้เกิดประเพณีกำฟ้าสืบมาจนถึงปัจจุบัน
ประกอบกับชาวไทยพวนมีอาชีพทำนาอยู่แล้ว
จึงมีวิถีชีวิตผูกพันกับฟ้า
ไม่กล้าทำให้ฟ้าพิโรธ
เพราะกลัวฟ้าฝนฟ้าจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล
การจัดงานบุญกำฟ้านี้
ก็เพื่อให้ผีฟ้าเทวดามีความพึงพอใจ
อีกทั้งยังเป็นการแสดงความขอบคุณผีฟ้าที่ประทานฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลอีกด้วย
ประเพณีกำฟ้าของชาวไทยพวนในจังหวัดลพบุรีนั้น
ตามประเพณีจะจัดตั้งแต่วันขึ้น
2 ค่ำ เดือน 3
ซึ่งเป็นวันเตรียมงานหรือวันสุกดิบ
คนในหมู่บ้านหรือสมาชิกในครัวเรือนจะช่วยกันทำข้าวปุ้น
(ขนมจีน) ข้าวหลาม ข้าวจี่ (ข้าวเหนียวปั้นยัดไส้หวาน
ไส้เค็ม ชุบไข่
และปิ้งไฟจนแห้งเกรียม)เพื่อนำสิ่งของดังกล่าวไปเซ่นไหว้ผีฟ้า
นอกจากนี้ยังมีการสร้างปะรำสำหรับทำพิธีที่วัด
ตอนเย็นจะนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์
ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจะประกอบพิธีเบิกบายศรี
อัญเชิญเทพยดาผีฟ้ามารับเครื่องสังเวยและ
มีการรำขอพร
กล่าวคำขอให้ผีฟ้า ผีบ้าน
ผีเรือน
มาปกปักรักษาคนในครอบครัวให้อยู่ดีกินดี
มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์
สิ่งสำคัญที่สุดของงานบุญนี้คือทุกคนต้องหยุดทำงานทั้งหลายทั้งปวง
เพราะมีความเชื่อว่าหากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะถูกฟ้าผ่าตายได้
สำหรับในวันขึ้น
3 ค่ำ เดือน 3 จะเป็นวันกำฟ้า
ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุด
ชาวบ้านจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมอาหารคาวหวานไปถวายพระและร่วมกันใส่บาตรข้าวหลามข้าวจี่
ตอนบ่ายจนถึงกลางคืนจะมีการละเล่นพื้นบ้าน
เช่น เตะหม่าเบี้ย ต่อไก่
ไม้อื่อคร่อมเส้า ช่วงชัย
มอญซ่อนผ้า
และในช่วงเวลากำฟ้านั้น
คนเฒ่าคนแก่ในครอบครัวจะคอยฟังเสียงฟ้าร้อง
ซึ่งเป็นการพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของคนในหมู่บ้าน
โดยมีคำทำนายดังนี้
เสียงฟ้าร้อง หมายถึง
ฟ้าเปิดประตูน้ำ
ฟ้าร้องทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ทำนายว่าฝนจะตกดี
ทำนาจะได้ข้าวดี
ฟ้าร้องทางทิศใต้ ทำนายว่า
ฝนจะแล้งข้าวกล้าในนาจะเสียหาย
ชาวบ้านจะอดเกลือ
ฟ้าร้องทางทิศตะวันตก
ทำนายว่าฝนจะน้อย
เกิดความแห้งแล้ง
ทำนาไม่ค่อยได้ผล
นาในที่ลุ่มดี
นาในที่ดอนจะเสียหาย
ข้าวยากหมากแพง
ชาวบ้านจะเดือดร้อน
เกิดเรื่องทะเลาะวิวาท
รบราฆ่าฟันกัน
ฟ้าร้องทางทิศตะวันออก
ทำนายว่าชาวบ้านจะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข
ไม่มีการรบราฆ่าฟันกัน
ไม่มีโจรผู้ร้าย
หลังจากำฟ้า 1 สัปดาห์
จะไปทำบุญที่วัดอีกครั้งหนึ่งโดยนำดุ้นฟืนที่ติดไฟ
1 ดุ้น
ไปทิ้งตามแม่น้ำลำคลองให้ไหลไปตามสายน้ำ
เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง
ๆ
และเป็นการบอกกล่าวแก่เทวดาผีฟ้าว่าหมดเขตกำฟ้าแล้ว
ปัจจุบันงานกำฟ้าเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะบ้านเมืองเจริญขึ้น
การทำบุญต่าง ๆ
ได้รวบรัดตัดรายละเอียดของพิธีลงไปบ้างปัจจุบันทางชมรมไทยพวนบ้านหมี่
จังหวัดลพบุรี
ได้จัดให้ชาวบ้านมาร่วมกันจัดงานทำบุญกำฟ้าที่ศูนย์ศิลปาชีพประชาสุขสันต์
ในตำบลบ้านกล้วย
โดยให้แต่ละบ้านทำข้าวจี่มาถวายพระหลังจากตักบาตรเช้าที่วัดใกล้บ้านแล้ว
ในช่วงบ่ายก็แข่งขันกีฬาพื้นบ้าน
ตอนเย็นจัดให้มีงานสังสรรค์นอกจากนี้บางปีก็ยังมีการเส็งกลอง
หรือการแข่งขันตีกลอง
ซึ่งเป็นการละเล่นที่หาดูได้ยาก
ประเพณีชักพระศรีอาริย์
วัดไลย์
ประเพณีชักพระศรีอาริย์
หรือแห่พระศรีอาริย์ วัดไลย์
อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
เป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาช้านาน
ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าพระศรีอาริย์หรือพระศรีอริยเมตไตรย
จะมาตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุธเจ้า
ในโลกมนุษย์หลังจากสิ้นสุดศาสนาของพระมหาสมณโคดมแล้วห้าพันปี
เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา
เรียกว่า ศาสนาพระศรีอาริย์
จึงได้มีการสร้างรูปพระศรีอาริย์ขึ้น
เพื่อเป็นการเคารพสักการะโดยเชื่อกันว่าจะได้ไปเกิดในยุคศาสนาของพระศรีอาริย์
จะทำให้มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข
ประเพณีชักพระศรีอาริย์
วัดไลย์นี้
แต่เดิมจะจัดในช่วงหน้าน้ำ
ซึ่งตรงกับวันแรม 5 ค่ำ เดือน 11
โดยแห่พระทางชลมารค
เพราะน้ำจะท่วมท้องทุ่ง
การสัญจรไปมาทางเรือสะดวก
การแห่พระทางชลมารคจะอัญเชิญรูปพระศรีอาริย์ลงเรือปิกนิก
หรือเรียกกันว่าเรือทรง
มีเรือพายของคณะกรรมการวัดใช้เชือกลากจูงนำหน้าและมีเรือพายของชาวบ้านจำนวนร้อย
ๆ ลำเข้าร่วมขบวนแห่
แต่มีบางพวกจะแข่งเรือยาวบางพวกเล่นเพลงฉ่อยและเพลงเรือ
ท้ายขบวนมีเรือเอี้ยมจุ๊นของทางวัดบรรทุกพวกมโหรี
ปี่พาทย์ แตรวง
บรรเลงให้ความครึกครื้นไปตลอดทาง
โดยเรือทุกลำจะตกแต่งอย่างสวยงาม
เพื่อโยงเรือทรงผลัดเปลี่ยนกันไปตามลำน้ำบางขามจนถึงวัดมหาสอน
ตำบลมหาสอน อำเภอบ้านหมี่
รวมระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร
ตลอดทางจะมีการตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มแก่ผู้ร่วมขบวนเป็นระยะ
ๆ เมื่อขบวนแห่พระกลับถึงวัด
ก็จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้นมัสการ
สรงน้ำ ปิดทองพระ
ส่วนตอนกลางคืนประชาชนจะนำเรือมาลอยอยู่หน้าวัดเพื่อฟังการเล่นเพลงพื้นเมือง
ซึ่งตอบโต้กันสนุกสนาน
และในเรือทุกลำจะมีการจุดตะเกียงจนสว่างไสวไปทั่ว
สำหรับบนศาลาวัดไลยนั้น
จะมีการเทศนาเรื่องตำนานพระศรีอาริย์
ให้ประชาชนฟังไปพร้อม ๆ กัน
ปัจจุบันนี้ประเพณีชักพระศรีอาริย์ทางชลมารคได้ล้มเลิกไปแล้ว
เนื่องจากได้มีการสร้างเขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาทเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตร
จึงทำให้นำที่เคยไหลท่วมทุ่งแห้งแล้งลง
ประเพณีชักพระศรีอาริย์จึงได้เปลี่ยนมาจัดงานในฤดูแล้ง
คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
ซึ่งเป็นประเพณีแห่พระทางสถลมารค
แต่พิธีต่าง ๆ
ยังคงอนุรักษ์แบบแผนเดิมไว้
โดยจัดเป็นขบวนแห่อัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ขึ้นประดิษฐานบนตะเฆ่ชนิดไม่มีล้อ
ทำเป็นบุษบกมีหลังคาหรือทำเป็นฉัตรกั้นแล้วใช้เชือกขนาดใหญ่สองเส้นผูกเป็นสองแถว
และให้ประชาชนทั้งหลายที่มาร่วมขบวนช่วยกันลากไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้
เมื่อถึงเวลาเริ่มพิธีจะจุดพลุ
พร้อมตีกลองและระฆังเป็นสัญญาณเริ่มการฉุดลากตะเฆ่
เพื่ออัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์แห่ผ่านหมู่บ้านต่าง
ๆ
ซึ่งตลอดระยะทางจะมีผู้มาตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารหลากหลายชนิด
มีทั้งข้าวต้ม ข้าวแกง
ขนมจีนน้ำยา อาหาร
คาวหวาน
นอกจากนี้ยังมีดนตรีหรือการละเล่นต่าง
ๆ
เมื่อไปถึงสถานที่ซึ่งสุดเส้นทางที่กำหนดไว้แล้วจะให้ประชาชนได้สรงน้ำพระศรีอาริย์
และนมัสการปิดทอง
ครั้นได้เวลาอันสมควรแล้วก็จะนำขบวนแห่กลับวัด
พอถึงวัดจะอัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ขึ้นประดิษฐานยังวิหารตามเดิม
และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้นมัสการปิดทอง
ตอนกลางคืนจะมีมหรสพต่าง ๆ
เช่น ภาพยนตร์ ลิเก ฯลฯ
ประเพณีขัดพระศรีอาริย์เป็นประเพณีโบราณเก่าแก่
ที่กระทำสืบต่อกันมา
ผู้ที่ได้มาร่วมงานจะได้ทั้งกุศล
ความสนุกสนานรื่นเริง
อีกทั้งยังได้ดูประเพณีที่พยายามรักษากันไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้พบเห็นและชื่นชมกันต่อไปในวันข้างหน้า
ประเพณีกวนข้าวทิพย์
เป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้
โดยนางสุชาดาธิดาของเศษรฐีหมู่บ้านเสนานิคม
ได้นำอาหารซึ่งเป็นข้าวมธุปายาส
ไปบรวงสรวงเทพยดาที่ใต้ต้นนิโครธ
ในวันเพ็ญขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6
นางได้พบพระพุทธองค์ประทับอยู่ใต้ต้นนิโครธ
ก็เข้าใจว่าเป็นเทพยดา
เมื่อพระพุทธองค์เสวยแล้ว
ได้ทรงนำถาดทองที่ใส่ข้าวมธุปายาสนั้นไปลอยน้ำ
และทรงอธิษฐานว่า
หากพระองค์จะได้ตรัสรู้ขอให้ถาดทองนั้นลอยขึ้นเหนือน้ำ
เมื่อพระพุทธองค์ทรงวางถาดลงในน้ำ
ปรากฎว่าถาดทองนั้นลอยขึ้นเหนือน้ำดังคำอธิษฐาน
พระพุทธองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทำให้พระพุทธองค์ได้สำเร็จและ
ตรัสรู้อริยสัจสี่ได้
ประเพณีกวนข้าวทิพย์
หรือข้าวมธุปายาส
ในจังหวัดลพบุรีจะมีการกระทำกันอยู่หลายแห่ง
เช่น วัดนิคมสามัคคีชัย
ตำบลนิคม อำเภอเมืองลพบุรี
โดยกระทำกันเป็นประจำทุกปี
ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6
และจะนำไปถวายพระในวันขึ้น 15
ค่ำ เดือน 6
พิธีกวนข้าวทิพย์
จะเริ่มต้นด้วยพิธีพราหมณ์
แล้วจึงตั้งบายศรีบวงสรวงเทพยดา
เครื่องประกอบในการตั้งบายศรี
มีไตรจีวร 1 ชุด
ถาดใส่อาหารมีข้าว ขนมต้มแดง
ขนมต้มขาว และผลไม้
จากนั้นพราหมณ์จะสวดชุมนุมเทวดา
แล้วจึงเริ่มพิธีกวนข้าวทิพย์
โดยการนำเอาข้าวที่ยังเป็นน้ำนม
หมายถึง
ข้าวที่เพิ่งออกรวงใหม่ที่เมล็ดยังเป็นแป้งอยู่
นำมาเอาเปลือกออก
นอกจากนั้นยังมีนม เนย ถั่ว
น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำผึ้ง
ตลอดจนผลไม้ต่าง ๆ
ใส่รวมกันไปแล้วกวนให้สุกจนเหนียว
พิธีการกวนข้าวทิพย์
จะต้องใช้สาวพรหมจารีย์นุ่งขาวห่มขาวอย่างน้อย
4 คน เป็นผู้กวน พอถึงวันขึ้น 15
ค่ำ เดือน 6 พวกทายก ทายิกา
จะช่วยกันปั้นข้าวทิพย์เป็นก้อน
ๆ ถวายแด่พระภิกษุภายในวัด
และจัดแบ่งไปถวายพระภิกษุตามวัดต่าง
ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
นอกนั้นที่เหลือจะแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่ไปร่วมทำบุญในวันนั้นเพื่อเป็นการให้ทาน
ประเพณีใส่กระจาด
(เส่อกระจาด)
ประเพณีใส่กระจาด
ตามภาษาพวนเรียกว่า
เส่อกระจาด
เป็นประเพณีของชาวไทยพวน
มีการกระทำกันในเขตอำเภอบ้านหมี่
และมักจัดขึ้นในงานเทศน์มหาชาติ
กำหนดในฤดูกาลออกพรรษา
คือวันข้างแรม เดือน 11
เมื่อหมู่บ้านใดกำหนดให้มีเทศน์มหาชาติแล้ว
ทางวัดจะส่งหนังสือกัณฑ์เทศน์ไปตามวัดต่าง
ๆ
เพื่อให้ส่งพระเข้ามาร่วมเทศน์ก่อนวันเทศน์
1 วัน ซึ่งเรียกว่า วันตั้ง
คือวัน เส่อ(ใส่) กระจาด
นั่นเอง
ก่อนจะถึงวันใส่กระจาดหนึ่งวัน
เรียกว่า วันต้อนสาว คำว่า
ต้อนสาว เป็นภาษาท้องถิ่น
คือ
บ้านไหนจะทำพิธีใส่กระจาด
เจ้าของบ้านจะชวนลูกสาวของเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยมาช่วยทำขนม
ห่อข้าวต้ม ตำข้าวปุ้น (ขนมจีน)
และช่วยกันต้อนรับแขกที่จะมาใส่กระจาด
เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวที่ชอบพอกันได้พบปะพูดคุยและช่วยเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงแขกตลอดคืน
พอรุ่งขึ้นเป็นวันใส่กระจาด
ชาวบ้านอื่น ๆ จะนำของ เช่น
กล้วย อ้อย ส้ม ธูปเทียน
หรือของอื่น ๆ
มาใส่กระจาดตามบ้านของคนที่ตนรู้จัก
จากนั้นเจ้าของบ้านจะนำอาหารที่เตรียมไว้มาเลี้ยงรับรองแขก
เมื่อแขกกินเสร็จแล้วจะบอกลากลับ
เจ้าของบ้านจะเอาข้าวต้มมัดฝากไปให้คนที่บ้าน
1 มัด เป็นของฝาก ซึ่งเรียกว่า
คืนกระจาด
วันให้ของเส่อกระจาดและของคืนกระจาด
ตลอดจนการจัดหาอาหารคาวหวานให้รับประทาน
นับเป็นความสุขทั้งผู้บริการและผู้รับบริการ
แขกที่ไปใส่กระจาดจะต้องกินอาหารของเจ้าของบ้านทุกบ้านอย่างละเล็กละน้อย
เพื่อไม่ให้เกิดการน้อยใจและปีต่อไปจะได้ไปตอบแทนกัน
วันรุ่งขึ้นเป็นวันเทศน์มหาชาติ
เจ้าของบ้านจะรวบรวมสิ่งของที่เพื่อนบ้านนำมาใส่กระจาด
ทำเป็นกัณฑ์เทศน์ไปถวายพระที่วัด
โดยถือว่าการทำบุญเทศน์มหาชาตินี้
เป็นการทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ประจำปีที่ได้มาร่วมการกุศลกัน
ประเพณีลงข่วง
เป็นประเพณีของชาวไทยพวนที่อยู่ในอำเภอบ้านหมี่
คำว่า ข่วง
หมายถึงที่โล่งแจ้งซึ่งกว้างพอสมควร
พอจะมีที่สำหรับรวมคนได้ประมาณ
20 30 คน
เพื่อที่จะได้ร่วมกันทำงาน
งานที่นำมาทำขณะลงข่วงนั้น
ส่วนใหญ่เป็นประเภทเบ็ดเตล็ด
เช่น กรอฝ้าย(ทำเส้น) ทอผ้า
ปั่นด้าย ตำข้าว ฝัดข้าว
กระเทาะเปลือกถั่วลิสง(เตรียมไว้ปลูก)
ประเพณีลงข่วง
จะเป็นการนัดหมายเพื่อนบ้านออกมาทำงานพร้อมกันและเป็นการพบปะสังสรรค์ของหนุ่มสาวชาวพวนอีกวิธีหนึ่ง
ซึ่งอยู่ในขอบเขตสายตาผู้ใหญ่
ส่วนมากจะมารวมกันเป็น ล้อง ๆ
คำว่า ล้อง หมายถึง
บ้านใกล้เคียงกัน เช่น
ล้องบ้านด่าน ล้องบ้านเซิง
ล้องบ้านใหญ่ เป็นต้น
ก่อนการลงข่วงจะมีการเก็บหลัว
(เศษไม้ใบไม้หรือฟืน)
เพื่อนำมาก่อให้เกิดแสงสว่าง
พอตอนเย็นสาวจะเดินเก็บหลัวเพื่อเป็นการบอกให้หนุ่มทราบว่าวันนี้จะมีการลงข่วง
โดยเก็บหลัวมากองรวมไว้บริเวณที่จะลงข่วง
แล้วขึ้นบ้านประกอบอาหารเพื่อรับประทารอาหารก่อนที่จะมาลงข่วงหลังรับประทารอาหารและอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็จะช่วยกันก่อกองไฟ
และนำงานที่จะทำลงมาจากบ้าน
ช่วยกันทำอย่างสนุกสนาน
จากนั้นหนุ่ม ๆ
ในละแวกบ้านก็จะเดินมาเที่ยวเป็นกลุ่ม
ๆ การมาของหนุ่มอาจจะเป่าแคน
เป่าขลุ่ย เป่าปาก ร้องเพลง
เป็นการให้เสียงล่วงหน้าเพื่อสาว
ๆ จะได้เตรียมตัวต้อนรับ
โดยนำน้ำดื่มมาวางไว้บริเวณงาน
หรืออาจมีขนมหวานมาวางไว้ให้ด้วย
หนุ่มที่สนใจสาวคนใดอาจจะแยกเป็นคู่
ๆ และจะมีบางกลุ่มร้องเพลง
ร่วมคุยตลกขบขัน
เป็นที่น่าสนุกสนานจนถึงเวลาพอสมควร
หนุ่มก็จะไปส่งสาวกลับบ้าน
แต่ในบางท้องที่การลงข่วงจะทำกันที่บ้านของสาวนั่นเอง